เหยื่อแก่กระแตใกล้กรุงราชคฤห์นี่แหละ, ครั้งนั้น เวลา
เช้าเราครองจีวรถือบาตร เพื่อไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์
คิดขึ้นมาว่า ยังเช้าเกินไปสำหรับการบิณฑบาตในกรุง
ราชคฤห์ ถ้าไฉน
เราเข้าไปสู่อารามของปริพาชก ผู้เป็น
เดียรถีย์เหล่าอื่นเถิด. เราได้เข้าไปสู่อารามของปริพาชก
ผู้เป็นเดียรถีย์เหล่าอื่น กระทำสัมโมทนียกถาแก่กันและกัน
นั่งลง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง.
อานนท์ ! ปริพาชกเหล่านั้น ได้กล่าวกะเราผู้
นั่งแล้ว อย่างนี้ว่า
“ท่านโคตมะ ! มีสมณพราหมณ์บางพวก ที่กล่าวสอน
เรื่องกรรม ย่อมบัญญัติความทุกข์ว่า เป็นสิ่งที่ตนทำเอา
ด้วยตนเอง, มีสมณพราหมณ์อีกบางพวกที่กล่าวสอนเรื่องกรรม
ย่อมบัญญัติความทุกข์ ว่าเป็นสิ่งที่ผู้อื่นทำให้, มีสมณพราหมณ์
อีกบางพวก ที่กล่าวสอนเรื่องกรรม ย่อมบัญญัติความทุกข์ว่า
ไม่ใช่ทำเองหรือใครทำให้ ก็เกิดขึ้นได้. ในเรื่องนี้ ท่านโคตมะ
ของพวกเรา กล่าวสอนอยู่อย่างไร? และพวกเรากล่าวอยู่อย่างไร?
จึงจะเป็นอันกล่าวตามคำที่ท่านโคตมะกล่าวแล้ว, ไม่เป็นการ
กล่าวตู่ด้วยคำไม่จริง แต่เป็นการกล่าวโดยถูกต้อง และ
สหธรรมิกบางคนที่กล่าวตาม จะไม่พลอยกลายเป็นผู้ควรถูก
ติเตียนไปด้วย ? ” ดังนี้.
อานนท์ ! เราได้กล่าวกะปริพาชกทั้งหลาย
เหล่านั้นว่า
ปริพาชก ท. ! เรากล่าวว่า ทุกข์ อาศัยเหตุปัจจัย
(ของมันเองเป็นลำดับ ๆ) เกิดขึ้น.
มันอาศัยเหตุปัจจัยอะไรเล่า ?
อาศัยปัจจัยคือ ผัสสะ.
ผู้กล่าวอย่างนี้แล ชื่อว่ากล่าวตรงตามที่เรากล่าว.
นิทาน. สํ. ๑๖/๔๑/๗๖.
0 ความคิดเห็น:
Post a Comment