ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เราจักแสดง ซึ่งความก่อขึ้นแห่งโลก แก่พวกเธอทั้งหลาย. พวกเธอทั้งหลาย จงฟังความข้อนั้น, จงทำในใจให้สำเร็จประโยชน์, เราจักกล่าวบัดนี้.
ครั้นภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ทูลสนองรับพระพุทธดำรัสแล้ว, พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถ้อยคำเหล่านี้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ก็ความก่อขึ้นแห่งโลก เป็นอย่างไรเล่า?
(๑) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เพราะอาศัยตาด้วย รูปทั้งหลายด้วย จึงเกิดจักขุวิญญาณ; การประจวบพร้อมแห่งธรรม ๓ ประการ (ตา+รูป+จักขุวิญญาณ)
นั่นคือผัสสะ;
เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา;
เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา;
เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน;
เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ;
เพราะมีภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ;
เพราะมีชาติเป็นปัจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะ
ทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน: นี้คือ ความก่อเกิดแห่งโลก.
(๒) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เพราะอาศัยหูด้วย เสียงทั้งหลายด้วย จึงเกิดโสตะวิญญาณ; การประจวบพร้อมแห่งธรรม ๓ ประการ (โสตะ+เสียง+โสตะวิญญาณ)นั่นคือผัสสะ; ...ฯลฯ...
๑สูตรที่ ๔ คหปติวรรค อภิสมยสังยุตต์ นิทาน. สํ. ๑๖/๘๗/๑๖๔, ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
(๓)ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เพราะอาศัยจมูกด้วย กลิ่นทั้งหลายด้วย, จึงเกิดฆานวิญญาณ; การประจวบพร้อมแห่งธรรม ๓ ประการ (จมูก+กลิ่น+ฆานวิญญาณ)นั่นคือผัสสะ;...ฯลฯ...
(๔) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เพราะอาศัยลิ้นด้วย รสทั้งหลายด้วย, จึงเกิดชิวหาวิญญาณ; การประจวบพร้อมแห่งธรรม ๓ ประการ (ลิ้น+รส+ชิวหาวิญญาณ)นั่นคือผัสสะ; ...ฯลฯ...
(๕) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เพราะอาศัยกายด้วย โผฏฐัพพะทั้งหลายด้วย,จึงเกิดกายวิญญาณ; การประจวบพร้อมแห่งธรรม ๓ ประการ (กาย+โผฏฐัพพะ+กายวิญญาณ) นั่นคือผัสสะ; ...ฯลฯ...
(๖) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เพราะอาศัยใจด้วย, ธัมมารมณ์ทั้งหลายด้วย,จึงเกิดมโนวิญญาณ; การประจวบพร้อมแห่งธรรม ๓ ประการ (ใจ+ธัมมารมณ์+มโนวิญญาณ) นั่นคือผัสสะ; เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา;
เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน;
เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ;
เพราะมีภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ;
เพราะมีชาติเป็นปัจจัย, ชรามรณะ
โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน : นี้คือ ความก่อเกิดขึ้น
แห่งโลก.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เหล่านี้แล คือความก่อขึ้นแห่งโลก.
0 ความคิดเห็น:
Post a Comment